ในวันที่อ้วนกำลังออกแบบข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ มดชะโงกหน้าเข้าไปดู เห็นสมการยุ่บยั่บยาวเฟื้อย มีเอ็กซ์ มีวาย มีสแควร์รูทรุงรัง ก็เกิดคำถามเดิม ๆ ขึ้นในใจ “เราเรียนเลขกันไปทำไม” ยิ่งในตอนเด็ก ๆ ที่ต้องมานั่งคร่ำเคร่งท่องสูตร หรือนั่งแก้สมการยาก ๆ จนปวดหัว พอแก้ได้บางสูตรครูกลับบอกว่า คำตอบถูกแต่วิธีคิดไม่ถูก โธ่ คุณครูคะ ใครเค้าก็รู้กันทั้งนั้นว่าการแก้สมการไม่ได้มีวิธีเดียว ทำยังไงก็ได้ให้คำตอบถูกต้องเป็นใช้ได้ไม่ใช่หรือคะ ครูพยักหน้า นั่นก็จริง แต่วิธีของเธอมันมั่ว มันไม่มีลอจิก!
วันนี้มดเลยขอถามอ้วนออกไป พอได้คำตอบก็นึกดีใจที่ไม่เก็บคำถามไว้แค่กับตัว นี่เป็นข้อดีมาก ๆ ของอ้วน คือเป็นคนที่ให้โอกาสคนโง่ ๆ อย่างมดได้เรียนรู้ ได้รับข้อมูลใหม่ ๆ ไว้ในสมอง โดยยอมฟังคำถามแบบใจเย็น และรู้วิธีที่จะสอนมดแบบไม่สอน คือรู้ว่าจะจัดการกับคนมีอีโก้แต่โง่อย่างมดได้อย่างไรนั่นเอง
“อ้วน เราเรียนคณิตศาสตร์ยาก ๆ พวกนี้ไปทำไมกัน มดไม่เห็นเลยว่าเราจะเอามันใช้ทำอะไรได้ในชีวิต”
“ไม่เห็นจริง ๆ เหรอ”
“ก็รู้หรอกว่า พวกเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้มันมาจากคณิตศาสตร์ทั้งนั้น แต่ว่ามดหมายถึงมดเองเนี่ยแหละ จะเอาสมการยาก ๆ พวกนี้ไปทำอะไรกัน”
“ก็ไม่ต้องเอาไปทำอะไรหรอก เค้าให้เรียนเผื่อจะชอบไง”
“ยังไงไม่เข้าใจ”
“ก็ถ้าไม่มีการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เราจะรู้เหรอว่าชอบหรือไม่ชอบ”
“ก็รู้แล้วไงเนี่ยว่าไม่ชอบ ถึงได้ถามไงว่าให้เสียเวลาเรียนไปทำไม”
“ให้เรียนเพื่อที่โลกจะได้ค้นหาคนที่ชอบเจอไง ในโรงเรียนแห่งนึงแต่ละชั้นมีนักเรียนสองร้อยคน ทุกคนต้องเรียนคณิตศาสตร์ ในสองร้อยคนอาจจะมีซัก 1 คนที่ชอบและสนใจเรียนต่อยอดไปจนค้นพบอะไรใหม่ ๆ และพัฒนามาให้เราใช้ไง”
“แหม ไม่แฟร์เลยนะที่ให้คนสองร้อยคนทำเพื่อคนหนึ่งคนน่ะ”
“แล้วสุดท้ายคนหนึ่งคนนั้นทำเพื่อคนอื่นรึเปล่าล่ะ , แล้วคนหนึ่งคน ๆ นี้ก็ต้องไปเรียนวิชาอื่นที่เค้าไม่ชอบเช่นกันนะ เช่นวาดรูป หรือดนตรี หรือภาษาศาสตร์ ฯ เพื่อจะให้โลกค้นหาคนที่ชอบในสาขานั้น ๆ เหมือนกัน อย่าพูดเรื่องแฟร์ ไม่แฟร์เลย”
”โอเค เข้าใจละ”
“และอีกอย่าง การเรียนคณิตศาสตร์อย่างเข้าใจ ก็ทำให้เราได้เรียนรู้เรื่องลอจิก ซึ่งเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตนะ”
“อ๊ะ ๆ ยังไงนะ”
“ลอจิกไง ไม่เข้าใจเหรอ”
“เข้าใจสิ หนึ่งบวกหนึ่ง เท่ากับสอง คือลอจิกใช่มั้ยล่ะ”
“อือ ประมาณนั้นแหละ ถ้าให้ยากขึ้นมาหน่อยก็คือ 1+2 = 3 และ 3+4 = 7 นั่นก็แปลว่า 1+2+3+4 = 3+7 ”
(ทำหน้างงแบบตามไม่ทัน อ้วนเลยไปหยิบกระดาษมาเขียนให้ดูถึงได้เข้าใจ)
“เข้าใจละ แล้วไงอ่ะ มันเกี่ยวกับการใช้ชีวิตยังไง”
“เมื่อเราเรียนรู้กับการแก้ไขสมการทุกวัน เราจะค้นพบว่ามันคือลอจิก มันเป็นการฝึกวิธีคิดอย่างมีเหตุมีผล สุดท้ายมันก็จะเข้าไปอยู่ในตัวเรา พอเราจะตัดสินใจอะไรในชีวิต เจ้าลอจิกเนี่ยจะช่วยจัดการได้อย่างดี”
“เหรอ ไหนยกตัวอย่างการใช้ชีวิตแบบมีลอจิกหน่อยสิ”
“เช่น การเช็คตารางรถไฟไง”
“ยังไงอ่ะ มันมีลอจิกยังไง”
“เราเช็คตารางรถไฟ รู้ว่าจะออกจากบ้านเวลาไหน ไปขึ้นรถ ลงรถ ต่อรถที่ไหน เวลาเท่าไหร่ ถึงที่หมายตอนไหนยังไงล่ะ”
“แล้วถ้าไม่มีลอจิกมันจะเป็นยังไง”
“เราก็นึก ๆ เอา ใช้ความรู้สึกว่า รถไฟน่าจะมาเวลานี้ แล้วก็เดินออกไป รอรถไฟ”
“อ๋อ ลอจิก คือการวางแผนเหรอ”
“ลอจิกเป็นพื้นฐานของการคิดไง คิดแบบมีการประมวลผล”
“นั่นหมายความว่า นักเรียนในห้องอ้วนน่ะ คนที่เรียนเลขเก่งจะจัดการชีวิตได้ดีกว่าเหรอ”
“ใช่ แต่การมีลอจิกดีก็ไม่ใช่คำตอบของความสุข มันหมายถึงสามารถจัดการชีวิตได้ดี ส่วนความสุขมันจะไปสมดุลระหว่าง ลอจิกและความรู้สึกนะ”
“ความสุขคืออะไรอ่ะ”
“ถ้าเราพูดถึงว่า 90% ของคนบนโลก เงินคือส่วนใหญ่ของความสุข เงินไม่ได้ทำให้มีความสุข แต่การ”มี”เงินจะทำให้ความสุขอยู่ไม่ไกล คนทุกวันนี้ทำงานก็เพื่อจะมีเงิน เพื่อนำมาซื้อหาความสุขเข้ามาในชีวิต ถ้าเรามีลอจิกดี เรารู้วิธีจัดการกับเงิน ทั้งใช้ ทั้งเก็บ ทั้งไม่ให้มันมามีอำนาจเหนือเรา”
“แต่ความสุขของมดไม่ต้องซื้อนะ”
“คิดดี ๆ สิว่าจริงรึเปล่าที่ไม่ต้องซื้อ มดมีความสุขที่ได้นอนอ่านหนังสือ ดูหนัง ทำกิจกรรมต่าง ๆ ถ้าไม่มีเงิน ถ้าต้องออกไปทำงานทุกวัน จะมีเวลามามีความสุขเหลือเฟือแบบนี้รึเปล่า”
“เออ ก็จริงแหละ แล้วมีมั้ยคนที่เรียนคณิตศาสตร์เก่ง ๆ แต่ใช้ชีวิตไม่มีลอจิกน่ะ”
“มีสิ ลอจิกก็เหมือน การที่เรามีอาวุธดี ๆ อยู่ในมือ รู้วิธีใช้ทุกอย่าง แต่ในที่สุดเราก็ไม่ยอมใช้มันนั่นแหละ”
“แล้วมีมั้ยคนที่เรียนคณิตศาสตร์ไม่เก่ง แต่ใช้ชีวิตแบบมีลอจิกน่ะ”
“การเรียนคณิตศาสตร์ไม่เก่ง ไม่ได้หมายถึงไม่เก่งลอจิกนะ เพราะลอจิกเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคณิตศาสตร์ ในสมัยกรีกและโรมันก็อย่างที่มดรู้ ผู้คนในสมัยนั้นใช้เวลาเกือบทั้งหมดไปกับการศึกษาเล่าเรียน ตอนแรกยังไม่มีวิชาคณิตศาสตร์ แต่มีวิชาลอจิกขึ้นมาก่อน แล้วค่อยขยายไปเป็นวิชาคณิตศาสตร์ในตอนหลัง ลอจิกเป็นพื้นฐานของมันน่ะ”
“มีคนที่เรียนคณิตศาสตร์ไม่เก่ง แต่เข้าใจลอจิกเหรอ”
“มีสิ อย่างมดนี่ไง”
“โหย อย่ามาว่ากันสิ มดเคยเก่งมาก ๆ เลยนะ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ A วิชาแคลคูลัสนะ”
“ไหนคำนวณพื้นที่วงกลมให้ดูซิ”
“————-”
Mod-x
ป.ล. ไม่ได้กำกับไว้ว่าคำพูดไหนเป็นของใคร แต่น่าจะเข้าใจได้ง่าย ๆ
January 3rd, 2008 at 4:45 pm
I understand ka.
January 4th, 2008 at 1:22 pm
ทางฟิสิกข์ ก็ใช้ในเรื่องการห่อของไม่ให้แตกไง ^ ^
February 6th, 2008 at 12:43 am
อยากเรียนรู้คำศัพท์