Feb 16

เหมี่ยวเป็นสาวไทยที่แต่งงานไปอยู่กับฝรั่งที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การพูดถึงเหมี่ยวโดยการบรรยายถึงลักษณะของเธอคงจะทำให้เรารู้จักเหมี่ยวแบบฉาบฉวยเกินไป จึงขอเล่าเป็นเหตุการณ์น่าจะดี สถานการณ์และการตัดสินใจของเหมี่ยวจะทำให้เรารู้จักเธอดีที่สุด

ตั้งแต่เหมี่ยวไปอยู่สวิสฯ เหมี่ยวเดินทางกลับบ้านปีละ 2 ครั้ง ให้เป็นที่อิจฉาของใครต่อใครที่อยากทำแบบนั้นได้บ้างแต่ขาดปัจจัยหลัก 2 อย่างคือ เงินและเวลา

 เหมี่ยวไม่ได้มีปัจจัยนี้มากกว่าคนอื่น แต่เธอสามารถบริหารมันได้ และตั้งใจจะทำให้ได้ จะด้วยความ”โชคดี” ที่คนอื่นชอบพูดกรอกหูเธอ หรือจะด้วย “การมีเป้าหมายในชีวิต” อย่างที่เธอบอกตัวเอง ก็ช่างเถอะ ขอให้เรารู้แค่ว่านั่นทำให้เธอได้กลับเมืองไทยปีละ 2 ครั้งก็พอ เมื่อปีที่แล้วเหมี่ยวเดินทางกลับเมืองไทยด้วยตั๋วของสายการบินราคาถูกมากคิดเป็นเงินไทยแล้วแค่ประมาณ สองหมื่นบาท เสียอยู่อย่างเดียว มันเป็นเส้นทางการบินฮ่องกง-ลอนดอน แต่เหมี่ยวไม่ย่อท้อ เธอหาตั๋วของสายการบินราคาถูกจากสวิสไปลอนดอน และขอแลกไมล์จากฮ่องกงไปเมืองไทย  การเดินทางใช้เวลาร่วม ๆ ยี่สิบชั่วโมงนับเวลารอเครื่องด้วย เหมี่ยวไม่รู้สึกว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะถึงแม้เหมี่ยวจะมีทั้งเงินและเวลา แต่เธอมีเวลามากกว่าเงินหลายเท่านัก

 

หลังจากปีใหม่ไม่กี่วัน เหมี่ยวก็มีแผนการณ์กลับเมืองไทยอีกครั้ง แฟนฝรั่งของเหมี่ยวช่วยเหมี่ยวจัดกระเป๋า พร้อมทั้งเตรียมน้ำท่า ขนมขบเคี้ยวใส่กระเป๋าไว้ให้ด้วย เพราะต้องไปต่อเครื่องหลายต่อและจะได้มีอะไรกินระหว่างรอ มันเป็นแผนของแฟนฝรั่งที่จะไม่ต้องให้เหมี่ยวเสียเงินซื้อของกินแพง ๆ ที่สนามบินนั่นเอง เอาเถอะ เราจะยังไม่นินทาแฟนฝรั่งของเหมี่ยวในตอนนี้ ถ้ามีโอกาสจะกล่าวถึงต่อไป

 วันที่เหมี่ยวเดินทาง แฟนฝรั่งของเหมี่ยวไม่สามารถไปส่งได้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร เหมี่ยวเดินทางเองบ่อยครั้ง และดูแลตัวเองได้ อ้อ! ลืมบอกไปเหมี่ยวอายุ 32 ปี ขึ้นเครื่องบินไปนู่นมานี่นับไม่ถ้วน 95% ไปคนเดียว ถ้าแฟนเหมี่ยวจะไปส่ง ก็มีสาเหตุเดียวคือว่าง

 เหมี่ยวเตรียมทุกอย่างพร้อม กระเป๋าใบใหญ่ประมาณ 18 กิโล วางอยู่กลางบ้าน กระเป๋าสะพายที่ข้างในมี Notebook ขวดน้ำดื่ม อุปกรณ์แปรงฟันชุดเล็ก และเอกสารการเดินทาง ก็วางอยู่เคียงกัน

 10.35 น. 

เหมี่ยวเข้าอินเตอร์เนตเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเช็คอีเมล์ และเช็คเวลาการเดินทางของตารางรถไฟอีกครั้ง เผื่อมีอะไรเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เหมี่ยวจะไปถึงสนามบินในเวลาบ่ายโมงครึ่ง เคาน์เตอร์เช็คอินปิดเวลาบ่ายสองยี่สิบ เครื่องออกบ่ายสองห้าสิบห้า ตามแผนนี้เหมี่ยวต้องออกจากบ้าน 11.23 น.

 11.40 น.

เหมี่ยวยืนรอรถที่สถานีรถไฟ  อีก 1 นาทีรถไฟก็จะมา ที่สวิสรถไฟตรงเวลาเสมอ ขณะที่เหมี่ยวลากกระเป๋าขึ้นไปบนรถไฟเธอก็เกิดสังหรณ์ใจอย่างรุนแรงว่า สนามบินที่เธอจะไป ไม่ใช่สนามบินที่เครื่องออก!!

ประเทศเล็ก ๆ อย่างสวิตเซอร์แลนด์ มีสนามบินที่สายการบินราคาประหยัดชื่ออีซี่เจ็ทลงจอดอยู่ 3 แห่งคือ ซูริค บาเซล และ เจนีวา 2 แห่งแรกห่างจากกันแค่ชั่วโมงเดียว แต่ห่างจากแห่งที่ 3 คือเจนีวาประมาณ 3 ชั่วโมง เหมี่ยวคิดอย่างมั่นใจโดยที่ไม่ได้เช็คตั๋ว เธอมั่นใจมาตลอดว่าเธอจะบินจากสนามบิน บาเซล - เราคงจะไม่ต้องมานั่งเล่าเรื่องนี้กันถ้าเหมี่ยวเข้าใจถูกต้อง – ใช่แล้วล่ะ! เครื่องบินของเธอจะออกจากสนามบิน”เจนีวา” ต่างหาก

11.58 น.

เหมี่ยวมองดูโทรศัพท์มือถือในมือ หลังจากที่เธอส่ง sms ไปเช็คตารางรถไฟไปเจนีวา หน้าจอที่แสดงผลทำให้เหมี่ยวหน้าซีด จากสถานีนี้เธอจะไปถึงเจนีวาตอนบ่ายสองห้าสิบห้า ซึ่งก็คือเวลาเครื่องออกพอดี สิ่งแรกที่เหมี่ยวอยากจะทำก็คือ เปิด Notebook เช็คทุกอย่างที่เป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวบินถัดไป ตารางรถไฟ หรือหนทางเป็นไปได้อื่น ๆ  แต่ Air card ที่จะทำให้เธอใช้อินเตอร์เนตได้ทุกที่ทุกเวลานั้น ตอนนี้นอนสงบนิ่งอยู่ที่บ้าน เหมี่ยวคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเดินไปที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ

 12.30 น.

เหมี่ยวนั่งอยู่ในรถไฟด่วนไปเจนีวา ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้ นอกจากมองเข็มนาฬิกาที่ค่อย ๆ เดินอย่างสุภาพ พลางนึกถึงชายหนุ่มเจ้าหน้าที่ของสายการบิน ที่เธอโทรไปปรึกษา ความใจเย็นของเขาทำให้เธอเดือดอย่างมากในตอนแรก และนึกขอบคุณในตอนหลัง ชายหนุ่มที่แสนดี แนะนำเธอหลายทาง เขาบอกว่า ลอนดอนมีสนามบินอยู่สามแห่ง และสายการบินของเขามีเครื่องบินไปลงตลอดทั้งวัน อย่างไรแล้วเหมี่ยวจะต้องไปถึงลอนดอนก่อนการต่อเครื่องไปฮ่องกงแน่นอน  ขอให้เป็นเช่นนั้นเถอะ … สาธุ

 13.30น.

เหมี่ยวยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า แต่ก็ไม่นึกหิว คงได้แต่นั่งมองวิวนอกหน้าต่างสลับกับนาฬิกา

 14.55น.

เหมี่ยวยืนอยู่ที่สนามบินเจนีวาตรงตามเวลาเครื่องออกเป๊ะ  เธอรีบเดินตรงไปเช็คตารางที่หน้าจอ แอบหวังนิดหน่อยว่าเครื่องอาจดีเลย์ครึ่งชั่วโมง และเธอก็น่าจะไปอ้อนวอนขอเช็คอินได้ แต่เครื่องไม่ดีเลย์ และป่านนี้คงรอสตาร์อยู่ที่รันเวย์

 เหมี่ยวกวาดสายตาขึ้นลงอยู่ที่หน้าจอแสดงตารางเวลาเครื่องออกอีกครั้ง เธอเห็นเที่ยวบินไปลอนดอนมากกว่าห้าเที่ยวในช่วงเวลาประมาณสองสามชั่วโมงต่อจากนี้ นั่นทำให้เธอใจชื้นขึ้น เหมี่ยวเดินตรงไปสายการบินประจำชาติอังกฤษ เธออธิบายให้พนักงานฟังว่าเธอตกเครื่อง ต้องการบินไปสนามบิน ลอนดอนแก็ตวิค ก่อนเวลาทุ่มตรง พนักงานชายวัยกลางคนยิ้มอย่างใจดี บอกว่าจะมีเครื่องออกอีกชั่วโมงครึ่งเธอจะไปถึงที่หมายหกโมงครึ่งไม่มีปัญหา เหมี่ยวถามราคา รอฟังนิดเดียวแล้วเดินจากมา ในหูยังก้องเสียงราคาที่ได้ยิน แปดร้อยห้าสิบฟรังซ์ – บ้าแน่ ๆ !! ราคานี้ชั้นบินไปกลับกรุงเทพ-สวิสได้นะยะ!

 

ตั๋วจากสายการบินอีซี่เจ็ทที่เหมี่ยวซื้อไว้ เป็นตั๋วราคาประหยัดราคาเจ็ดสิบฟรังซ์เท่านั้น ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมอีซี่เจ็ทถึงได้เจริญเติบโตและขยายตัวอย่างรวดเร็วปานพายุ เหมี่ยวเดินผ่านสายการบินชื่อดังอย่างไม่แยแส เธอตรงลิ่วไปยังเป้าหมายเดียวคืออีซี่เจ็ท

 พนักงานประจำเคาน์เตอร์ท่าทางใจดี แต่จริง ๆ แล้วแค่ท่าทางบอกอะไรเราไม่ได้มากนัก เพราะหล่อนคนนี้ใจร้ายมาก เหมี่ยวเล่าเหตุการณ์ให้ฟังทั้งหมด เธอถามกลับว่า “แล้วคุณจะเอายังไง” เหมี่ยวบอกว่า เมื่อสองชั่วโมงที่แล้วคุยกับเจ้าหน้าที่ทางโทรศัพท์ เขาบอกว่าคุณมีเที่ยวบินอื่น “ใช่เรามีอีกรอบซึ่งคุณจะไปถึงทุ่มห้าสิบ” นั่นไม่ทันการต่อเครื่องไปฮ่องกงแน่ เหมี่ยวต้องการเที่ยวบินที่ไปถึงก่อนหกโมงครึ่ง และนี่เป็นการสนทนาคร่าว ๆ ที่ทำให้เหมี่ยวอยากอุ้มพนักงานสาวไปฆ่า

เหมี่ยว : ฉันคุยกับพนักงานของคุณทางโทรศัพท์ เขาบอกว่าคุณมีเที่ยวบินไปลงที่สนามบินอื่นของลอนดอนด้วย

พนง. : ใช่ มีลอนดอนแก๊ตวิต ลอนดอนลูเธอร์ และ ลอนดอนแสตน์สเตด

เหมี่ยว : เที่ยวไหนเร็วที่สุด

พนง. : ก็คุณจะไปลงที่ไหนล่ะ

เหมี่ยว : คุณคิดว่าฉันควรไปลงที่ไหนดี เพื่อจะต่อไปลอนดอนแก๊ตวิคได้เร็วที่สุด

พนง. : ฉันจะไปรู้ได้ไง

เหมี่ยว :  คุณเช็คให้ฉันได้มั้ย

พนง. : (ทำหน้าเมื่อย – ค้นอะไรกุกกัก) ฉันไม่มีรายละเอียด คุณต้องระบุมาเลยจะไปลงที่ไหน

เหมี่ยว :  คุณลองติดต่อที่สนง.ให้ได้ไหม เจ้าหน้าที่ที่นั่นรู้เรื่องดี

พนง. : ติดต่อไม่ได้หรอก คุณต้องบอกฉันมาว่าจะไปลงที่ไหน

เหมี่ยว : ฉันไม่รู้ว่าที่ไหนมันใกล้แก๊ตวิคนี่นา

พนง. : งั้นคุณไปโทรศัพท์หาเพื่อน หรือหาใครก็ได้ แล้วมาบอกฉันชัด ๆ ว่าคุณจะไปลงสนามบินไหน

เหมี่ยว : (ส่งสายตาอาฆาต) ก็ได้ ในเมื่อคุณไม่อยากช่วยฉันนี่นะ

 15.05 น.

เหมี่ยวเดินมาหาที่นั่งในมุมเงียบ โทรศัพท์ไปยังสำนักงานอีกครั้ง เป็นชายหนุ่มรับ เธอจำได้ว่าไม่ใช่คนเดิม ซึ่งทำให้เธอต้องเสียเวลาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง  เรื่องที่ไม่น่าเกิดก็เกิด พนักงานหนุ่มฟังเหมี่ยวไม่เข้าใจเพราะว่าโทรศัพท์เสียงเบาและมีคลื่นรบกวน เหมี่ยวต้องตะโกน และอธิบายบางประโยคซ้ำกันหลาย ๆ รอบ ประมาณนี้

 เหมี่ยว : ฉันตกเครื่องที่จะบินไปลอนดอนแก๊ตวิค คุณช่วยเช็คให้ทีว่าฉันจะไปลงที่สนามบินไหนเพื่อต่อไปแก๊ตวิคก่อนทุ่ม

พนง. : อะไรนะ

เหมี่ยว : ฉันตกเครื่องที่จะบินไปลอนดอนแก๊ตวิค คุณช่วยเช็คให้ทีว่าฉันจะไปลงที่สนามบินไหนเพื่อต่อไปแก๊ตวิคก่อนทุ่ม

พนง. : ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน

เหมี่ยว : เจนีวา

พนง. : หาอะไรนะ – เจนัว – ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย

เหมี่ยว : ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สนามบินเจนีวา

พนง. : อืมม – สวิต - เจนัว – เดี๋ยวผมถามเพื่อนก่อนนะ

เหมี่ยว : เจ – นี – วา ไม่ใช่ เจนัว

พนง. : อ๋อ เอ่อ ขอโทษที ผมฟังไม่ถนัดน่ะ เอาล่ะ แล้วไงนะ คุณจะไปที่ไหน

เหมี่ยว : (โอ๊ย ไอ้บ้า เมื่อกี๊พูดไปสองครั้งแล้วนะ – คิดในใจ) จะไปลอนดอน

พนง. : มีเที่ยวบินตอนสี่โมงยี่สิบ แต่เคาน์เตอร์เช็คอินจะปิดตอน บ่ายสามสี่สิบ คุณมีเวลาอีกสามสิบนาทีนะ

เหมี่ยว : แล้วฉันต้องไปลงสนามบินไหน

พนง. : เออใช่ เวลานี้มีเที่ยวบินสองเที่ยวคือ ลูเธอร์ และ สแตนสเตด คุณจะไปที่ไหนล่ะ

เหมี่ยว : (กูจะฆ่ามึง – คิดในใจตลอด) ก็ฉันถึงได้โทรมาถามคุณไง ช่วยเช็คให้หน่อยว่า ที่ไหนใกล้กับแก็ตวิคที่สุด

พนง. : ได้สิ รอเดี๋ยวนะ (ทำเสียงสบายอารมณ์มาก – รีบ ๆ หน่อยโว้ยยย!!)

พนง : คุณไปลงสแตนสเตดนะ คุณจะไปถึงที่นู่นห้าโมงสิบนาที จะมีรถไฟด่วนตรงไปแก็ตวิคประมาณ 30 นาที คุณจะมีเวลาเหลือเฟือก่อน เช็คอินอีกครั้ง

เหมี่ยว : โอเค ขอบคุณมาก ขอบคุณจริง ๆ

15.15น.

เหมี่ยวลากกระเป๋าอย่างรวดเร็วไปที่เคาน์เตอร์ติดต่อเรื่องตั๋วอีกครั้ง เธอแทบอยากกรี๊ดและลงไปชักดิ้นชักงอ คนไม่รู้มาจากไหนยืนต่อคิวกันยาวเฟื้อยเพื่อติดต่อเรื่องตั๋ว เหมี่ยวมองดูนาฬิกาอีกครั้ง นี่เหลือเวลาอีกยี่สิบห้านาทีเท่านั้นที่เธอจะต้องเปลี่ยนตั๋ว และเช็คอินให้ทัน

 15.20น.

โชคดีมีคนรอต่อกันอยู่ 3 แถว และแถวที่เหมี่ยวยืนรอเป็นแถวที่เร็วที่สุด ชายที่ยืนข้างหน้า หันมามองเหมี่ยวหลายรอบ เขามีตาข้างซ้ายเป็นสีขาวขุ่น ถ้าเป็นเวลาปกติเหมี่ยวคงนึกกลัว แต่ตอนนี้เหมี่ยวมองตรงไปยังตาข้างนั้นอย่างอ้อนวอน

 15.25 น.

เหลืออีก 2 คนก็ถึงคิวเหมี่ยว ชายที่อยู่ข้างหน้าหันมามองเหมี่ยวเป็นรอบที่สี่ ในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้ จึงโพล่งออกไป “คุณรีบรึเปล่าคะ ฉันรีบมากเลยต้องออกตั๋วภายใน 10 นาทีนี้ค่ะ” เขายิ้มกลับราวกับว่ารอให้เธอพูดมานาน พร้อมผายมือ “เชิญเลยครับ ผมไม่รีบอะไรเลย” เธอขอบคุณเขาไปสามครั้งติดกัน

 15.28 น.

เธอยื่นหนังสือเดินทางและ E-ticket ใบที่เธอพลาดเที่ยวบินให้พนักงาน พร้อมทั้งแจ้งว่า ต้องการเปลี่ยนเป็นตั๋วเที่ยวที่จะถึงไปลอนดอนแสตนสเตด พนักงานสาวซึ่งเป็นคนละคนกับคนก่อนหน้า ยิ้มและพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ไม่มีปัญหา”  เธอพลิกหนังสือเดินทางพลางหาหน้าวีซ่าประเทศอังกฤษ ตอนนั้นเหมี่ยวก็นึกขึ้นได้จึงแจ้งรายละเอียดเพิ่ม

 เหมี่ยว : ฉันไม่มีวีซ่าอังกฤษหรอก ฉันจะไปต่อเครื่อง (ยื่น E-ticket ของเที่ยวบินที่จะไปต่อให้ดู)

พนง. : คุณไม่มีวีซ่า (ทำเสียงสูง)

เหมี่ยว : แต่ไม่มีปัญหาหรอกนะ เพราะว่าฉันสามารถไป Transitได้ภายใน 6 ชั่วโมงไม่จำเป็นต้องใช้วีซ่า

พนง. : คุณไม่มีปัญหา แต่ฉันอาจมีปัญหาได้ ถ้าไม่เช็คให้แน่นอนก่อน

เหมี่ยว : คุณดูในหนังสือเดินทางฉันสิ มีตราประทับ Visa on arrival จากต.ม. เมื่อเดือนกรกฎา ฉันก็เดินทางมาจากฮ่องกงลงลอนดอนก็ไม่มีวีซ่าเหมือนกัน

พนง. : ขอฉันเช็คก่อน (เดินหายไปพร้อมหนังสือเดินทาง)

15.35 น.

พนักงานเดินกลับมาพร้อมหน้ายุ่งยาก

พนง. : คุณอาจมีปัญหานะ เพราะคุณไปลงคนละสนามบินกับที่คุณจะไปต่อเครื่อง

เหมี่ยว : แต่ฉันอ่านกฎมาแล้วนะ ว่าฉัน Transit ได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า

พนง. : ขอฉันเช็คก่อน

เหมี่ยว : (ทำหน้าอ้อนวอน) แต่ฉันจะตกเครื่องแล้วนะ เคาน์เตอร์เช็คอินจะปิดแล้ว

พนง. : (ก้มลงมองในจอ แล้วพูดเสียงธรรมดามาก) ไม่หรอก ใจเย็น ๆ 

เหมี่ยว : (เย็นไม่ไหวแล้วโว้ย!! – คิดในใจ)

พนง. เดินหายไปอีกครั้งพร้อมตั๋ว ชั่วดูดบุหรี่สองทีก็เดินกลับมาพร้อมพูดว่า

พนง. : เอาล่ะ ในเมื่อคุณแน่ใจว่าได้ ฉันก็จะออกตั๋วให้ คุณไปเสี่ยงเอาเองที่ต.ม.ลอนดอนก็แล้วกัน

เหมี่ยว : ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก ขอบคุณ (เธอโค้งแล้วโค้งอีก จนแทบจะโค้งเอาหัวโขกเคาน์เตอร์ให้ดู)

พนง.: ค่าเปลี่ยนตั๋วและตั๋วใหม่ทั้งหมด แปดสิบห้าฟรังซ์นะเหมี่ยว : ไม่มีปัญหา (ยิ้มพร้อมยื่นบัตรเงินสดไปข้างหน้า) 15.45 น.

เหมี่ยวเดินตัวปลิวพร้อมกระเป๋าสะพาย ผ่านการตรวจเอ็กซเรย์ไปด้วยความโล่งอกเป็นที่สุด นึกขอบคุณพนักงานที่ขายตั๋วให้ พร้อมทั้งพาเธอไปเช็คอินที่เคาน์เตอร์พิเศษ ถึงตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่า เธอจะต้องไปถึงสนามบินลอนดอนแก็ตวิคทันเวลาเช็คอินไปฮ่องกงแน่นอน ระหว่างทางไปประตูที่ 64 เพื่อขึ้นเครื่อง เธอยิ้มอย่างกว้างขวางให้กับมวลอากาศแถวนั้น พร้อมกับรู้สึกหิวขึ้นมาทันที

 17.05 น.

เหมี่ยวนั่งอย่างสบายใจอยู่บนเครื่องบิน เธอเปิดนิตยสารอย่างไม่ใส่ใจนัก พลันมองนาฬิกาอีกครั้ง นึกเอะใจ ไหนอีตานั่นบอกทางโทรศัพท์ว่าเครื่องจะไปถึงห้าโมงสิบนาที นี่อีกห้าโมงห้านาทีไม่เห็นมีวี่แววว่าจะมีการนำเครื่องลงจอด ใจเธอเต้นตูมตามขึ้นมาอีกครั้ง ในเวลาปกติเหมี่ยวจะไม่ค่อยวุ่นวายกับพนักงานต้อนรับบนเครื่องมากนัก เนื่องจากเห็นว่าพวกหล่อนต้องบริการผู้โดยสารคนอื่น ๆ ตลอดเวลา แต่ในวันนี้เธอยกมือเรียกพนักงานอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้คิดเกรงอกเกรงใจใด ๆ ถามออกไป

 เหมี่ยว : เราจะไปถึงสนามบินกี่โมงคะ

แอร์ : ห้าโมงสิบค่ะ

เหมี่ยว : แต่นี่ จะห้าโมงสิบแล้วนะ

แอร์ : (ส่งยิ้มอย่างเอ็นดู) เวลาที่อังกฤษช้ากว่าหนึ่งชั่วโมงค่ะ

เหมี่ยว : (ส่งยิ้มโล่งใจกลับ) ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ย ขอบคุณมากค่ะ เอ่อ ขอถามอะไรอีกนิดนะ

แอร์ : ยินดีค่ะ

เหมี่ยว : จากสนามบินฉันจะขึ้นรถไฟต่อไปที่ สนามบินลอนดอนแก๊ตวิค จะใช้เวลานานแค่ไหน

แอร์ : อืมมม (ทำท่าคิด) ไม่มีรถไฟตรงไปหรอกค่ะ มีแต่รถบัส

เหมี่ยว : อ้อ ฉันคงฟังมาผิด แล้วรถบัสนี่ใช้เวลานานมั้ย

แอร์ : ประมาณ สองถึงสามชั่วโมง

เหมี่ยว : (ทำหน้าตาแหก และขึ้นเสียงสูง) หา!! อะไรนะ (คนที่นี่อยู่ด้านหน้าหันมามอง)แอร์ : คุณต้องไปต่อเครื่องหรือคะ ต้องเช็คอินกี่โมง (ทำเสียงธรรมดา ไม่ได้ตกใจไปด้วย)

เหมี่ยว : ก่อนทุ่มนึงเป็นอย่างช้าที่สุด ฉันบินสองทุ่มสิบน่ะ แล้วนี่จะทำยังไงกันล่ะเนี่ย (ทำหน้าอ่อนแรง พร้อมนึกสาปแช่งไอ้พนักงานผู้ชายคนนั้นที่บอกว่ามีรถด่วนสามสิบนาที)

แอร์ : อย่าเพิ่งกังวลเกินเหตุค่ะ (Don’t panic too much) ไปถึงสนามบินแล้วค่อยไปสอบถามที่ Information อีกทีนะคะ ฉันว่าคุณทำได้แน่ ๆ  (ลูบไหล่เหมี่ยวเบา ๆ แล้วเดินจากไป)

เหมี่ยว : (ทำอะไรได้วะ – ไปถามที่ Information ได้ หรือว่าไปเช็คอินได้กันแน่ – เหมี่ยวเริ่ม panic แล้วล่ะ)

 16.20 น.

เหมี่ยวปรับเวลาให้เป็นเวลาของประเทศอังกฤษ เพื่อจะเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ข้างหน้าที่จะเกิดขึ้น วันนี้สารอดีนารีนคงหลั่งจนท่วมสมอง เพราะตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้าจนถึงบัดนี้ เหมี่ยวตื่นตัวพร้อมเด้งตลอดเวลา

 16.45น.

เหมี่ยวพยายามคิดหาทางออกไปเรื่อย ๆ ตั้งคำถามกับตัวเองตลอดว่า ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่แอร์สาวบอก คือไม่มีรถไฟด่วน เราจะทำอย่างไรดี ถ้าการเดินทางไปสนามบินแก็ตวิคใช้เวลาร่วม ๆ 2 ชั่วโมงจริง ๆ เห็นทีต้องตกเครื่องไปฮ่องกงแน่นอน

 มีทางออกหรู ๆ ให้เลือกไม่มากนัก หรูแรกคือ นั่นคือ นั่ง Taxi ด่วนตรงไปสนามบิน หรูสุด ๆ ก็คือ ซื้อตั๋วไปกลับ ลอนดอน – กรุงเทพ มันซะเลย และหรูแบบไม่มีทางเลือกก็คือ ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับมาตายรังที่สวิส แต่สิ่งที่เหมี่ยวต้องการจริง ๆ ก็คือ ขอให้แอร์สาวเข้าใจผิดเรื่องรถไฟด้วยเถอะ

 17.15น.

ล้อแตะรันเวย์ตรงเวลา โชคดีในความโชคร้ายอย่างแรกก็คือ เหมี่ยวนั่งแถวที่ 3 จากหัวเครื่อง ทำให้เมื่อประตูเปิด เหมี่ยวทะยานออกไปเป็นคนที่ 4 เพราะไม่มีสัมภาระอะไรนอกจากกระเป๋าสะพายใบเดียว

 17.15น.

ขณะที่เหมี่ยวยืนรอรถไฟขนส่งจาก Gate เข้าสู่อาคารผู้โดยสาร พลันสายตาเหลือบไปเห็นป้ายขนาดยักษ์ติดไว้ข้างประตู เป็นรูปการ์ตูนคนต่อคิวยาวเหยียด เขียนอธิบายง่าย ๆ ว่า “ขออภัย เนื่องจากการป้องกันความปลอดภัย เราจำต้องตรวจเข้มพาสปอร์ต ซึ่งจะทำให้คุณต้องรอนานกว่าปกติ”  แหม! โชคดีของเหมี่ยวจริงจริ๊ง

 17.20

เมื่อเดินเข้ามาในอาคารผู้โดยสาร เพื่อสู่กระบวนการตรวจเช็คคนเข้าเมือง คิวของฝูงชนที่ต่อแถวกันยาวเหยียด แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด ยี่สิบนาทีเป็นอย่างน้อยที่เธอต้องยืนรอเพื่อผ่านด่านนี้ออกไปเอากระเป๋า นั่นก็หมายความว่า ใกล้หกโมงเย็นนู่นแหละเธอถึงจะเอากระเป๋าออกไปได้

ขณะที่เหมี่ยวกำลังจะเดินไปต่อแถว เรื่องที่แทบไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น เธอเห็นป้ายที่อยู่ตรงฝั่งที่คนยืนต่อคิวเป็นร้อยคนเขียนว่า “EU” และช่องที่แทบไม่มีคนต่อคิวเลยเขียนว่า “Non-EU” เธอกระพริบตาถี่ ๆ อีกครั้ง เหมือนเห็นแสงสว่างริบหรี่ของหิ่งห้อยตัวน้อยในคืนเดือนมืด เหมี่ยวไม่รอช้าเธอแทบจะถลาวิ่งไปที่ช่องนั้นในทันใด

 17.22น.

เหมี่ยวยืนรอเป็นคนที่สามในแถว พร้อมกันนั้นเธอก็เหลียวไปมองแถวยาว ๆ ด้านข้างนั่นอีกครั้ง เช็คดูให้แน่ว่าเธอไม่ได้เข้าใจอะไรผิด 

 เจ้าหน้าที่สาวสวยยืนจัดคิวส่งยิ้มมาให้ เธอจึงถามออกไปโดยไม่ได้คิดว่า
”ขอโทษนะคะ คุณพอจะทราบไหม ว่าถ้าจะไปสนามบินลอนดอนแก๊ตวิค ต้องขึ้นรถไฟด่วนขบวนไหน” เหมี่ยวเลือกถามด้วยความหวังลึก ๆ ว่า มันต้องมีสิ ไอ้รถไฟด่วนที่จะทำให้เราไปถึงได้ในเวลา 30 นาทีอย่างที่พ่อหนุ่มเจ้าหน้าที่สายการบินบอกเรา มันต้องมีสิ!

 

สาวสวยืนนึกอึดใจ แล้วสั่นหัว “ไม่มีหรอกค่ะ ต้องขึ้นรถบัสเข้าไปในเมือง แล้วต่อรถไฟไปอีกที”
”ใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ พอทราบไหมคะ” เหมี่ยวถามออกไปเสียงแผ่ว
”ประมาณร่วม ๆ สองชั่วโมงค่ะ” เธอยิ้มหวาน ยังไม่ทันจะถามต่อ ก็ถึงคิวที่ตรวจหนังสือเดินทางของเหมี่ยวพอดี

 17.26น.

“คุณไม่มีวีซ่า?” คุณลุงเจ้าหน้าที่ทำหน้าดุใส่เหมี่ยว หลังจากพลิกหนังสือเดินทางของเธอหมดทุกหน้า

“ใช่ค่ะ ฉันจะมาต่อเครื่องไปฮ่องกงต่อ” เหมี่ยวตอบไปตามปกติ ไม่คิดเลยว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น เพราะเธอพะวงอยู่เรื่องเดียวคือ จะตกเครื่องอีกหรือไม่ หารู้ไม่ว่ายังมีเรื่องที่จะให้เธอกังวลอีกเรื่องนึง นั่นคือเรื่องวีซ่า! คุณลุง : “ขอดูตั๋วที่คุณจะต่อหน่อย”

คุณลุง : “คุณไปฮ่องกงนี่นา คุณอยู่ที่นั่นเหรอ”

เหมี่ยว : “เปล่าค่ะ ฉันจะไปต่อเครื่องที่นั่นไปประเทศไทย นี่เป็นตั๋วอีกใบไปกรุงเทพค่ะ”

คุณลุง : “ทำไมคุณต้องเดินทางซับซ้อนแบบนี้ คุณทำงานสายการบินเหรอ”

เหมี่ยว : “เปล่าค่ะ ตั๋วมันถูกมาก ฉันเลยยอมเดินทางหลายต่อ”

คุณลุง : “แต่คุณไม่มีวีซ่าอังกฤษ คุณเดินทางเข้าประเทศอังกฤษโดยไม่มีวีซ่าไม่ได้รู้รึเปล่า”

เหมี่ยว : “รู้ค่ะ แต่ฉันแค่มา Transit และฉันก็ศึกษากฎมาแล้วว่า  Transit 6 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องขอวีซ่า”  คุณลุง : “นั่นสำหรับสนามบินเดียวกัน ตอนนี้คุณอยู่คนละสนามบินที่คุณจะไปต่อเครื่อง คุณรู้มั้ย” (ทำเสียงสูง)

เหมี่ยว (ใกล้จะลงไปกราบอยู่รอมร่อ) : “ฉันตกเครื่องบินค่ะ ฉันต้องบินลงไปแก็ตวิค แต่ตกเครื่อง เลยต้องมาลงที่นี่”

 คุณลุง มองเข้ามายังดวงตาเหมี่ยวเนิ่นนานราวกับจะให้ทะลุไปถึงความจริง เหมี่ยวไม่หลบสายตาดุจเหยี่ยวนั้น ซ้ำยังส่งแววออดอ้อน เว้าวอนกลับไป (รีบ ๆ หน่อยได้มั้ยลุง จะทำอะไรก็ทำเข้า) 

คุณลุง : คุณเป็นพลเมืองของสวิสเหรอ
เหมี่ยว
: ใช่ค่ะ

คุณลุง : แต่งงาน หรือว่า เรียน หรือว่า ทำงาน

เหมี่ยว : แต่งงานและทำงานค่ะ (จะซักอีกนานมั้ยคะ เวลาไม่คอยท่านะคะลุง)

คุณลุง : สามีมาด้วยรึเปล่า

เหมี่ยว : มาคนเดียวค่ะ (สงสัยจะตกเครื่องก็เพราะลุงนั่นแหละ)

คุณลุง : คุณทำอะไรอยู่ที่นั่น

เหมี่ยว : เป็น Web designer และ Tour Guide ค่ะ

คุณลุงนิ่งไป 3 วินาที และพูดคำเดิม (ที่เหมี่ยวฟังแล้วอยากกรีดร้องให้ก้อง) ว่า “คุณไม่มีวีซ่า”!

 โอเคลุง รู้แล้วว่าไม่มีวีซ่า จะพูดซ้ำไปซ้ำมาทำไม ตกลงจะเอาไง จะให้เข้าหรือไม่ให้เข้า จะจับไปขังคุกหรืออะไร ก็ตัดสินใจซักอย่าง ประวัติก็ซักไปหมดแล้ว จะทำอะไรก็ทำ  - เหมี่ยวคิดในใจและส่งไปทางสายตา

 เหมี่ยว : แล้วอย่างนี้ฉันต้องทำอย่างไรดีคะ

ลุงทำเสียงดุใส่ : ต้องอดทน (be patient)  - นี่ยังไม่อดทนอีกเหรอ?

ลุงพูดต่อ : ต้องไปเช็คก่อนว่าจะให้คุณเข้าได้หรือไม่ แล้วนี่นะจะบอกให้ว่าถึงคุณเข้าไปได้ ก็ยังไม่แน่ใจว่า คุณจะไปต่อเครื่องทัน (อ้าวลุง รู้เหมือนกันเหรอ แล้วลีลาอยู่ทำไม) ลุงคงหมดมุก หมดคำถาม เลยถือหนังสือเดินทางของเหมี่ยวหายไปในส่วนสำนักงาน กลับมายื่นหนังสือเดินทางให้กับเหมี่ยวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วพูดส่งท้ายเสียงเข้มว่า “โชคดีนะ”17.35น.

เหมี่ยวผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้ในที่สุด เธอดิ่งตรงไปยังสายพานส่งกระเป๋า เรื่องโชคดีเรื่องที่สามก็เกิดแก่สายตา (โชคดีเรื่องที่สองก็คือ ช่องต่อคิวสั้น) กระเป๋าเธอมาถึงเป็นใบแรก จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามเหมี่ยวไม่ทันคิด เธอคว้ากระเป๋าได้ ก็ลากมันไปยังเคาน์เตอร์ Information ทันที

 เหมี่ยว : สวัสดีค่ะ ฉันจะไปสนามบินแก็ตวิค มีทางไหนที่จะสามารถไปได้เร็วที่สุดบ้างคะ

คุณป้าประชาสัมพันธ์ : คุณขึ้นรถบัสไปลงในเมือง แล้วต่อรถไฟไปได้ค่ะ

เหมี่ยว : ใช้เวลาเท่าไหร่ค่ะ

คุณป้า : ประมาณสองชั่วโมงค่ะ

เหมี่ยวไม่เสียเวลาพิรี้พิไรยิงคำถามที่คิดไว้ทันที : ถ้าขึ้นแท็กซี่จะทำให้ใช้เวลาน้อยกว่านั้นไหมคะ

คุณป้า : แน่นอนค่ะ แต่ว่าค่อนข้างแพง

เหมี่ยว : แพงมากเลยเหรอคะ

คุณป้า : คนลอนดอนไม่ค่อยใช้แท็กซี่วิ่งระยะไกลแบบนี้หรอกค่ะ  คุณลองไปถามที่เคาน์เตอร์นั้นสิคะ

 17.38น.

 

เหมี่ยวถลาไปยังเคาน์เตอร์แท็กซี่ด้านข้างทันที เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อบาดใจ แต่เสียดายที่เหมี่ยวไม่มีเวลาได้ชื่นชม เธอเลือกคำถามที่ตรงไปตรงมาที่สุด

 เหมี่ยว : ฉันต้องการไปสนามบินแก็ตวิค ในเงื่อนไขที่ว่า ต้องไปถึงก่อนทุ่มสิบ คุณคิดว่าทันหรือไม่คะ

หนุ่มหล่อบาดใจ : นั่นเป็นเวลาเครื่องออก หรือเวลาเช็คอินครับเหมี่ยว : เวลาอย่างช้าที่สุดในการเช็คอินค่ะ

หนุ่มหล่อ : ถ้าเราออกเดินทางเลย เราจะมีเวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เดี๋ยวขอผมเช็คก่อน

 หนุ่มหล่อบาดใจกดโทรศัพท์ กรอกเสียงเร็วปรื๋อ ไม่เกิน 15 วินาทีก็วางสายลงยิ้มหวานพร้อมกับเสียงดังคำสั่งสวรรค์ว่า หนุ่มหล่อ : ผมคิดว่าเราสามารถพาคุณไปถึงได้ทันเวลา หรือไม่ก็เลทไม่เกิน 5 นาที

เหมี่ยว : โอ๊ย ขอบคุณมาก ๆ ขอบคุณที่สุด ฉันชำระเงินที่นี่หรือว่าที่คนขับคะ

หนุ่มหล่อ : ชำระเลยครับ ทั้งหมด 120 ปอนด์

เหมี่ยว : OHHH! แพงจริง ๆ  แต่ฉันไม่มีทางเลือกใด ๆ อีกแล้ว

 เหมี่ยวหยิบบัตรเครดิตส่งให้กับหนุ่มหล่อบาดใจ พร้อมตะโกนก้องในใจว่า ฉันจะไม่กลับไปสวิส ไม่กลับไปสวิส ยังไงก็จะต้องกลับไปเมืองไทยให้ได้ ใครหน้าไหน ราคาเท่าไหร่ ก็ฉุดฉันไม่อยู่ ฉันจะกลับ จะกลับบ้าน!!!

17.43น.

เหมี่ยวลากกระเป๋ามายังรถแท็กซี่หมายเลข 98 ซึ่งมีชายวัยกลางคนเปิดท้ายรถรออยู่แล้ว เขาส่งยิ้มและรีบกุลีกุจอ เข้ามายกกระเป๋า พร้อมถามย้ำว่าเหมี่ยวจะไปสนามบินแก๊ตวิคใช่หรือไม่ เหมี่ยวพยักหน้ารับ พร้อมทั้งสำทับว่า ต้องไปให้ถึงก่อนทุ่มสิบนะคะ!

 17.55น.

เหมี่ยวเล่าสถานการณ์คับขันให้กับพี่แท็กซี่ฟังทั้งหมดอย่างละเอียด เพื่อเป็นการฆ่าเวลา และดีกว่านั่งใจเต้นระทึกอยู่เฉย ๆ คนเดียว พี่แท็กซี่เป็นผู้ฟังและผู้ปลอบใจที่ดี ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนที่ขับรถได้เก่งฉกาจ การปาดซ้ายป่ายขวา เร่งความเร็วในจังหวะที่ทำได้อยู่ตลอดเวลา ทำให้เหมี่ยวนึกขอบคุณอยู่ในใจที่พี่แท็กซี่พยายามช่วยเธออย่างเต็มที่

 พี่แท็กซี่ : คุณสบายใจขึ้นรึยัง

เหมี่ยว : ยังหรอกค่ะ ฉันจะสบายใจก็ต่อเมื่อไปถึงสนามบินนั่นแหละ

พี่แท็กซี่ : แต่ตอนนี้เรากำลังทำเวลาได้ดีนะ รถไม่ติดเลย

เหมี่ยว : ขอให้เป็นแบบนี้ไปตลอดเถอะ เราอยู่อีกไกลมั้ยคะ

พี่แท็กซี่ : เรามาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ผมก็หวังว่า เมื่อผ่านเข้าไปใกล้เมืองรถจะไม่ติดมากนัก ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน แล้วฝนก็ตกด้วย

เหมี่ยว : นี่หมายความว่า เรายังเหลือระยะทางอีกไกลเหรอคะเนี่ย ฉันนึกว่าเรามาไกลแล้วซะอีก

พี่แท็กซี่ : คุณอย่าเพิ่งกังวลไป รอดูไปเรื่อย ๆ

 18.30น.

พี่แท็กซี่ : Ohhh NO!

เหมี่ยวเองก็พูดไม่ออก ได้แต่เม้มปากแน่น นั่งบีบมือตัวเองให้คลายอาการเกร็ง รถที่ติดเป็นแพยาวอยู่ข้างหน้า และฝนที่พรำอยู่ไม่ขาดสาย ทำให้รถค่อย ๆ ขยับไปได้ทีละนิด พี่แท็กซี่พยายามเบียด พยายามแทรก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก

 พี่แท็กซี่ : ถ้าอีกห้านาทีเราไม่สามารถพ้นไปจากตรงนี้ เห็นทีต้องวางแผนใหม่แล้วครับ

เหมี่ยว : หมายถึงเราจะเปลี่ยนเส้นทางที่จะไปสนามบินเหรอคะ

พี่แท็กซี่ : หมายถึงแผนของคุณผู้หญิงต่างหากครับ คิดไว้หรือยังว่าจะทำอย่างไรถ้าไปไม่ทัน

เหมี่ยว : ไม่ได้คิดเลยค่ะ เพราะฉันอยากให้ไปทัน

 ยังไม่ทันที่จะได้โต้ตอบอะไรกัน อยู่ดี ๆ การจราจรก็คล่องขึ้นมาเหมือนโดนมนต์คาถา รถเราไปได้เร็วขึ้น เร็วขึ้น จนในที่สุด พี่แท็กซี่ก็สามารถเหยียบได้ถึงร้อย แม้ฝนจะพรำตลอดเวลา เหมี่ยวซึ้งใจมาก เพราะรู้ว่าการขับรถเร็วตอนฝนตกแบบนี้อันตรายเกินไป แต่พี่แท็กซี่คงไม่มีทางเลือก เพราะรู้ว่าชะตาของเหมี่ยวตอนนี้อยู่ที่ฝีมือขับรถของพี่แท็กซี่เท่านั้น

 18.55น.

 พี่แท็กซี่ : “เห็นไฟกระพริบลิบ ๆ นั่นไหมครับ นั่นล่ะสนามบินแก็ตวิค” เหมี่ยวน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เหมือนได้รับคำตัดสินในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าศาลยกฟ้อง มีแต่ความยินดี และปลาบปลื้ม อยากดึงพี่แท็กซี่มากอดขอบคุณ อยากตะโกนให้ทุกคนในโลกได้รับรู้ว่า ฉันไม่ผิด เอ๊ย! ฉันทำได้ ฉันจะได้กลับบ้านแล้ว ในที่สุด!!

 พี่แท็กซี่ : ผมจะพาคุณไปส่งยังประตูที่ใกล้กับส่วนเช็คอินมากที่สุด แต่คุณต้องเดินต่อเข้าไปอีกพอประมาณ ผมขอให้คุณวิ่ง ให้เร็วที่สุด เพราะเราจะไปถึงที่นั่นประมาณทุ่ม 5 นาที คุณอาจจะไม่ทันได้

 19.05น. เหมี่ยว : ฉันขอขอบคุณคุณมาก ๆ  ฉันอยากจะตอบแทนคุณ แต่ฉันไม่มีเงินสดติดตัวไม่มีเงินปอนด์เลยด้วยซ้ำ มีแค่เงินสวิสฟรังซ์อยู่ยี่สิบฟรังซ์นี้เท่านั้น คุณกรุณารับไว้ด้วยนะคะ

 พี่แท็กซี่ : ด้วยความยินดี ผมขออย่างเดียว คุณอย่าโทษตัวเอง เรื่องแบบนี้อาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคน แต่คุณก็ไม่ใช่คนแรก และก็จะไม่ใช่คนสุดท้ายด้วย ขอให้คุณโชคดี เอาล่ะ วิ่งงงงงงงงงงง

 เหมี่ยววิ่ง พร้อมลากกระเป๋าใบใหญ่ไปด้วย เธอมองหาป้ายสายการบิน Oasis ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่หนึ่งคน กำลังจัดเก็บเสาที่ใช้จัดคิวง่วนอยู่ แว่บแรกเหมี่ยวใจหาย คิดว่าเคาน์เตอร์คงปิดเสียแล้ว แต่เมื่อเธอไปยืนหอบอยู่ด้านหน้า เจ้าหน้าที่รับพาสปอร์ตเธอไปเหมือนเป็นเรื่องปกติ

 19.18น.เหมี่ยวยืนถือ Bording pass แบบงุนงงเล็กน้อย ที่เรื่องนี้จบลงแบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนเรื่องตื่นเต้นที่ผ่านมาตั้งแต่เช้านั้นเป็นเพียงความฝัน มันง่ายดายเหลือเกิน เหมือนนั่งดูหนังสยองขวัญ ลุ้นไปกับตัวเอกที่วิ่งหนีสัตว์ประหลาดตลอดทั้งเรื่อง และในตอนท้ายเจ้าสัตว์ประหลาดที่แสนน่ากลัวนั้น สะดุดเท้าตัวเองตกลงไปในบ่อน้ำกรด ร้องโหยหวนตายลงไป ตัวเอกก็รอดตายเดินกลับบ้านกินนมนอน ประมาณนั้น

 เรื่องของเหมี่ยวก็มีเท่านี้ เหมี่ยวไม่ได้รู้สึกโทษโชคชะตาฟ้าดินหรือโทษตัวเอง แต่เหมี่ยวรู้สึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำ ที่ทำให้เหมี่ยวได้มีประสบการณ์แบบนี้ มันเป็นประสบการณ์ที่เหมี่ยวคงไม่มีวันลืมและไม่มีวันซ้ำกับใคร จนอยากจะจดบันทึกให้ละเอียดทุกช่วงทุกตอน  อ้อ! ลืมบอกไป ในที่สุดเหมี่ยวก็ได้กินอะไรเสียที เมื่อตอนขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินของสายการบิน Oasis ที่บินไปฮ่องกงตอน 20.30 น.

 

5 Responses to “เรื่องของเหมี่ยว”

  1. เจ๊กอ Says:

    55 ยาวมาก มันส์มาก
    อ่านไปลุ้นไป ปวดฉี่ก็อดกลั้นไว้ อยากอ่านรวดเดียวจบ
    โชคดีไปที่ขึ้นเครื่องทัน happy ending นะ
    ไม่งั้นคนอ่านคงต้องฉี่ราดหน้าคอมแน่ๆ เลย น้องเหมี่ยวเอ๋ย : )

  2. คุณแม่ Says:

    สงสารน้องเหมี่ยวจับใจ…ตกลงเรื่องจริงหรือนิยายคะเนี่ย

  3. admin Says:

    คุณแม่คะ ไม่ต้องสงสารเหมี่ยวหรอกค่ะ เห็นบอกว่าชอบนะคะที่ได้มีประสบการณ์แปลก ๆ : )

  4. ศิษย์น้อง Says:

    ชอบประสบการณ์พี่เหมี่ยวครับ ถ้าเกิดกับตัวเองไม่รู้จะทำได้แบบพี่เหมี่ยวรึเปล่า แต่รู้อย่างนึงครับว่าถ้าคนเราสู้ไม่ถอยเราจะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ แต่พี่เหมี่ยวนี่เก่งนะครับขนาดแข่งกับเวลายังแข่งได้เลย นับถือเลยครับ อ่านไปลุ้นไปเลยว่าจะได้กลับเมืองไทยรึเปล่า แล้วก็ลุ้นอีกอย่างนึงว่าเมื่อไหร่จะได้กินอะไรซะทีคงตื่นเต้นจนลืมหิวไปเลย….ไว้จะเข้ามาอ่านอีกนะครับพี่เหมี่ยว …อิอิ

  5. ผู้กำกับ Says:

    (อยากให้เอาไปทำเป็นหนัง.. จิงๆ) …เม้มงัยดีล่ะ ยังมันส์อยู่เลย??

    ดังนี้แล้วกัน
    1. ได้คำนวณรึยังว่า ต้นทุน.. เงิน.. ที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้ แพงกว่าปกติไปเท่าไหร่???? (จากการอยากได้ตั๋วถูก!!)

    2. ใครไม่รู้จักเหมียว.. มาอ่านอันนี้แล้ว.. ก็จะรู้จักได้เป็นอย่างดี (..ดีทีเดียวล่ะ)
    ..เพราะขณะที่เหมียวสนทนากะใครอยู่ก็ตาม …เหมียวจะแอบด่าเค๊าคนนั้น อยู่ในใจเสมอ …ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เหมียวทำอยู่เป็นประจำ

    3. ในสถานการณ์ขับขัน.. เหมียวยังมัวมาเสียดาย ที่จะได้ชื่นชม “เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อบาดใจ” (น่าจะตกเครื่องซะให้เข็ด)

    4. เหมียวบอกว่า “เหมี่ยวอายุ 32 ปี ขึ้นเครื่องบินไปนู่นมานี่นับไม่ถ้วน” ..แต่ทำไมไม่รู้ความหมายของคำว่า “VISA” รู้อยู่ว่าต้องนั่งรถไฟ หรือไม่ก็ แท็กซี่ เข้าไปเยี่ยมชมบรรยากาศในเมืองลอนดอน แล้วไม่มี VISA เนี๊ยะนะ!! (..โธ่!! เหมียวเอ๋ย)

    5. เหมียวบอกอีกว่า “ตั้งแต่เหมี่ยวไปอยู่สวิสฯ เหมี่ยวเดินทางกลับบ้านปีละ 2 ครั้ง ให้เป็นที่อิจฉาของใครต่อใครที่อยากทำแบบนั้นได้บ้าง” …ถึงตรงนี้แล้ว ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่อง “น่าอิจฉา” หรือว่า “น่าเวทนา” กับชะตากรรมของเหมียว

    6. แต่สุดท้าย เรื่องของเหมียวก็ทำให้ผมได้รับความสนุก และความมันส์ ไม่ต่างจากการไปดูละครเวทีเลย…

    ขอเสียงปรบมือให้กับ …

    ..นักแสดงประกอบทุกคน .. แปะๆ
    และนักแสดงสมทบทั้งหลาย… แปะๆๆๆๆ ดังขึ้น เริ่มด้วย..
    ..เจ้าหน้าที่สายการบินประจำชาติอังกฤษ
    ..ทีมเจ้าหน้าที่ของสายการบินอีซีเจ็ท ประกอบด้วย
    พนักงานรับโทรศัพท์หนุ่มใจเย็น,
    พนักงานสาวที่จะถูกอุ้มไปฆ่า,
    หนักงานรับโทรศัทพ์หนุ่มหูตึง,
    พนักงานสาวเปลี่ยนตั๋วช่วยชีวิต และ
    แอร์สาวDon’t panic
    ..เจ้าหน้าที่จัดคิวสาวสวย
    ..คุณลุง ตม.
    ..คุณป้า ประชาสัมพันธ์
    ..ชายตาซ้ายขาวขุ่นผู้ใจดี
    ..เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อ ที่อดชื่นชม
    ..พี่แท็กซี่
    ..แฟนฝรั่งของเหมียว
    ……………..เดินออกมาพร้อมกันทั้งหมด……………พร้อมกับชูมือแล้วโค้งคำนับ

    และขอเสียงปรบมือดังๆ ให้กับ ……… คุณเหมียว นางเอกของเรื่อง ……..เฮๆๆๆ วื๊ดวิ้ว

    ละครปิดฉาก
    เอาม่านลง
    …..

Leave a Reply