Nov 21

เราเริ่มเรียนบทที่ 9 ซึ่งยังคงเกี่ยวพันกับ Preposition อยู่ แต่เปลี่ยนจากหัวข้อของการเมืองและประวัติศาสตร์ หัวข้อเรื่องของทั้งบทที่ 9 เป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้ชรา เอ่อ ใครกัน(วะ) เป็นคนคิดเนื้อหา ไม่มีอะไรที่เริงรมย์กว่านี้เหรอ เปิดเรื่องมาก็เกี่ยวกับ “บ้านพักผู้ชรา” เลย เราเรียนเรื่องนี้มาได้ 2 วันแล้ว และเมื่อวานเป็นทีของการ “สนทนาและแลกเปลี่ยนความคิด” ซึ่งก็หมายถึง การแย่งกันพูดอย่างถูกกติกา โดยกรรมการคือครูลูเชอร์ตามเคย ที่คอยดึงประเด็นให้กลับมาในเนื้อหา

ระหว่างที่ไม่ได้แย่งกับเค้าพูด(เพราะแย่งไปแล้ว) มดถอยออกมาเป็นผู้ชม จึงได้เห็นความสามารถของครูลูเชอร์ที่น่าประทับใจ ยกตัวอย่างเช่น เมดา กำลังอธิบายเกี่ยวกับคุณตาเกี่ยวกับอดีตสมัยหนุ่ม และเริ่มเข้าสู่วัยชราก่อนเสียชีวิตลง ยัยเจนนี่ก็ต่อเรื่องด้วยการถามว่า “นี่จริงรึเปล่า ที่ฉันอ่านข่าวมาว่าผู้หญิงที่ประเทศของเธอห้ามออกไปข้างนอกคนเดียวต้องไปกับสามีเท่านั้น” (เมดามาจากลิเบีย เป็นประเทศมุสลิม) มดฟังคำถามแล้วอึ้งเลย เกี่ยวอะไรกะคุณตาของเมดา(วะ) แล้วยัยรูบี้ก็ยังมาเสริมว่า มันเป็นวัฒนธรรมของประเทศเค้า เธอไม่รู้เหรอว่า ผู้หญิงมุสลิมน่ะ ไม่ได้มีสิทธิเหมือนผู้หญิงทั่วไปนะ อ้าว ๆ ไปกันใหญ่ เมดารีบลุกขึ้นมาปกป้องแม่ของตัวเองว่า ไม่จริง แม่ของผมยังขับรถออกไปซื้อกับข้าวประจำ แต่ไปกับพวกผู้หญิงคนอื่น ๆ ในหมู่บ้านนะ (เมดาเป็นเด็กผู้ชายอายุ 18) เจนนี่ได้ที “นั่นไง ก็บอกแล้วว่าห้ามออกไปคนเดียว”

ครูลูเชอร์รีบส่งเสียงขึ้นมาในขณะที่รูบี้กำลังจะอ้าปากพ่นอะไรบางอย่างออกมา “เอาล่ะ เรากลับเข้ามาในเรื่องคุณตาของเมดาต่อนะ” แล้วเมดาก็ได้มีโอกาสเล่าเรื่องคุณตาจนจบ ซึ่งทันทีที่จบครูลูเชอร์ก็หันไปทางซาบรีนา ขอให้เล่าเกี่ยวกับคุณตาหรือคุณยายที่บ้าน ซาบรีนาเล่าถึงคุณยาย และโยงไปถึงบ้านพักผู้ชราว่า เธอคงไม่พาคุณยายไปอยู่ที่บ้านนั้นแน่ “เราจะไม่ส่งคนที่เรารักไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวที่นั่น” ซาบรีนาพูดออกมาด้วยความมุ่งมั่น ยังไม่ที่ทุกคนจะได้ซาบซี้ง คุณรูบี้ตัวดีก็เถียงขึ้นมาแรง ๆ ว่า “เธอรู้ได้ไงว่าที่นั่นโดดเดี่ยว แน่ใจนะว่าอยู่ที่บ้านแล้วจะมีความสุข บลา ๆ ๆ ๆ ๆ ” คือรูบี้เห็นด้วยเป็นอย่างมากที่จะพาบุคคลที่ชราแล้วของครอบครัวไปอยู่ที่นั่น ก่อนที่สงครามจะเกิดขึ้น ครูลูเชอร์ก็เข้าห้าม “รูบี้จ๊ะ ขอบใจมากสำหรับความคิดเห็น ขอให้ซาบรีนาได้เล่าให้จบก่อนนะ” รูบี้พยักหน้าแกน ๆ หลังจากซาบรีนาพูดจบ ครูก็หันไปถามคนอื่น ๆ จนเกือบครบทุกคน แต่ยังไม่ถามรูบี้เวลาก็หมดซะก่อน

จริง ๆ แล้วช่วงเวลาของการ “สนทนาและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น” ก็คือช่วงเวลาของการฝึกพูดนั่นเอง หลายคนในห้องไม่ค่อยได้มีโอกาสพูดในเวลาอื่น อาจจะเพราะแย่งพูดไม่ทัน นึกคำไม่ออก หรืออายกลัวพูดผิด ฯ แต่ในช่วงของการสนทนา ทุกคนจะได้พูด จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่การสนทนาตามความหมายนั้นหรอก แต่เป็นการบอกเล่าถึงความคิดของตัวเองมากกว่า เพราะด้วยว่ามันเป็นภาษาที่เรายังไม่ถนัด คำที่จะใช้ก็มีอยู่ในหัวน้อยเต็มที ถ้าจะให้มาสนทนาแข่งกะแม่รูบี้ คงเหมือนมวยคนละรุ่น เพราะรูบี้มีทั้งหมัดที่หนัก ฟุตเวอร์กที่ดี และความอึด ขนาดมดเคยไปลองแลกหมัดกันมาแล้ว ยังสะบักสะบอมกลับมา ถ้าไม่ได้ครูลูเชอร์บางทีอาจไม่มีโอกาสปล่อยหมัด

กลับเข้าเรื่อง บ้านพักของผู้ชรา – ตามหนังสือเรียนซึ่งเป็นเรื่องของคนเยอรมัน เราได้รู้ว่าวัฒนธรรมยุโรปสมัยใหม่นี้ การไปพักบ้านพักผู้ชรา เป็นทางออกที่แม้แต่ผู้ชราเองเป็นผู้เลือก เพราะความสะดวกต่าง ๆ มากมาย มีผู้ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และมีเพื่อนวัยเดียวกัน 80% ของห้องพูดถึงวัฒนธรรมในประเทศตัวเองว่า บ้านพักผู้ชรา ยังไม่เป็นที่ยอมรับของประเทศตน ผู้ชราในบ้าน จะมีสมาชิกในบ้านเป็นผู้ดูแล ครูลูเชอร์เล่าว่า สมัยก่อนสวิสเซอร์แลนด์ก็เป็นเช่นนั้น เพิ่งจะมาในช่วง 20 ปีให้หลังนี้เอง ที่เริ่มมีการนิยมก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับผู้ชรา เป็นทางออกที่กับทุก ๆ ฝ่าย ในโลกที่อะไรก็วิ่งเร็วจี๋ และผู้คนไม่มีเวลาให้กับใครแม้แต่ตัวเอง

มดนึกภาพไม่ออกว่า มดจะพาคุณยายของมดไปอยู่สถานที่แบบนั้นได้อย่างไร แต่ก็อดนึกในทางกลับกันไม่ได้ว่า แล้วตอนคุณยายอยู่ที่บ้านเรามีเวลาให้กับท่านได้มากน้อยแค่ไหน ดูแลความรู้สึกท่านได้ทั่วถึงหรือไม่ ถ้าได้ไปอยู่ในที่ ๆ มีเพื่อนวัยเดียวกัน พูดคุยภาษาเดียวกัน จะมีความสุขกว่ารึเปล่า – แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มดว่าเรื่องของบ้านพักผู้ชรา ก็น่าจะให้ผู้ชราได้เป็นผู้ตัดสินเองและเคารพการตัดสินใจนั้น เพราะท่านก็ทำแบบนั้นกับเราเช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ ?

Mod-x

2 Responses to “บ้านพักผู้ชรา”

  1. เจ๊กอ Says:

    รูบี้คงอยากเป็นดาวประจำห้องมั้ง (ดาวตกวูบๆ 55)
    บางคนอยากอวดฉลาด ด้วยการถกเถียงชิงตอบคำถามว่า ฉันรู้(ดี)ไปซะหมดทุกเรื่อง
    ครูฝั่งนี้เขาผ่านการฝึกมาดีนะ แม้กระทั่งชั้นเด็กเล็กที่แย่งกันพูดลั่นๆ
    ก็ถูกครูฝึกจนเป็นนิสัยว่า ใครจะแย่งใครตอบต้องรีบชูมือโชว์รักแร้ก่อน
    ถ้าครูเรียกชื่อจัดคิว จึงเอ่ยปากตอบได้ ไม่ใช่คิวเธอขอจงหุบปากไว้

    เรื่องบ้านพักคนชรานี่ พี่ว่าตัดสินใจฟันธงยาก
    เพราะมันมีตัวแปรจากวัฒนธรรมประจำชาติ และวิถีสังคมนั้นเป็นองค์ประกอบ
    ระบบตะวันตก มันเริ่มชินมาตั้งแต่เด็กโตแล้วจะออกไปอยู่ลำพังดูแลตัวเอง
    การดูแลตัวเองของพวกเขา จึงไม่ใช่ตัดหางปล่อยวัดเหมือนบางประเทศรู้สึก

    หากโดยสภาพครอบครัวใหญ่อยู่กันทั้งโคตรแบบเมืองไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์
    การส่งญาติวัยชราไปอยู่บ้านพักคนชรา จะถูกมองเป็นการเนรคุณยิ่งนัก
    เพราะแม้ลูกๆ แต่งงานมีหลานยันเหลนยั้วเยี้ยก็แล้ว
    ปู่ย่าตายายยังไม่เคยออกปากให้ลูกหลานย้ายออกจากบ้าน
    เมืองไทยเราอยู่กับแบบถึงทะเลาะกันจะตาย ก็ไม่แยกไปไหน
    ตีกันให้ตายใน้บ้านเดียวกันนี่ล่ะ
    หรือผู้ใหญ่บางคู่ทู่ซี้อยู่บ้านเดียวกันมา 20 ปี แต่ไม่พูดกันเลย-ก็เห็นมาเยอะ

    พี่ว่า สภาพบ้านพักคนชราบ้านเรามันมีน้อย และบางแห่งมีสภาพน่าสลดใจมาก
    มันไม่ได้มีมาตรฐาน มีพยาบาลใจดีดูแลคนชราเหมือนกันทุกแห่ง
    ระบบจ่ายภาษีเราแบบขั้นต่ำ สวัสดิการชีวิตหลายอย่างเลยต่ำตามไป
    บางทีการยกเรื่องอะไรเล็กๆ แต่รายละเอียดลึกๆ มาเปรียบคุยกัน
    สามารถถกเถียงชกต่อยกันได้ข้ามทศวรรษเลยจริงๆ

    ประเด็นล่อแหลมชกต่อยแบบนี้ ถ้าไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากตอบ
    ส่วนใหญ่พี่หุบปากฟังอย่างเดียวเหมือนกัน
    เถียงแล้วมันไม่จบ มีแต่ยืดยาว เมื่อยปากและหัวเปล่าๆ

  2. Mod-x Says:

    มดก็เหมือนกันเจ๊ มดน่ะไม่ชอบปะทะ รู้สึกว่ามาทะเลาะกันเรืองแบบนี้
    มันไร้สาระอ่ะ ถึงเค้าจะเรียกการทะเลาะแบบนี้ว่า การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นก็ตาม
    เพราะบางคนน่ะโคตรใจจะแคบเลย แต่ถ้าเจอคนที่อยากจะแลกเปลี่ยนจริง ๆ
    อย่างนั้นค่อยว่ากันอีกที

Leave a Reply