Nov 14

มดคิดอยู่นาน ที่จะหาคำแปลภาษาไทยจากประโยคนี้ “don’t take it personal” คิดอยู่หลายตลบก็ไม่สามารถสรรหาภาษาไทยที่รัดกุม สวยงามและชัดเจนมาอธิบายได้เลยคิดว่าจะขอเลือกใช้ภาษาอังกฤษแทน เพราะให้ความหมายที่ชัดเจนกว่า

4 ปีที่แล้วที่ย้ายมาอยู่นี่และใช้ชีวิตคู่ใหม่ ๆ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและภาษา ทำให้มีปัญหาที่เกิดขึ้นบ้างระหว่างคนสองคน เวลาทะเลาะตบตีกันด้วยคำพูด สิ่งที่มดได้ยินคุณอ้วนพูดเสมอคือ “don’t take it personal” ฟังครั้งแรกบอกตรง ๆ ว่าไม่เข้าใจ ฟังครั้งที่สองที่สามก็ยังไม่เข้าใจ

ไม่ใช่ไม่เข้าใจว่าแปลว่าอะไร แต่ไม่เข้าใจว่า ทำไมจะ take it personal ไม่ได้ ก็คุณด่าอิชั้นนี่คะ เอาล่ะจะลองสมมติเหตุการณ์ให้ฟัง สมมติว่าเรากำลังคุยกันเรื่องของประเทศที่สามแห่งหนึ่ง พูดไปพูดมา คุณอ้วนก็วกเข้ามายกตัวอย่างประเทศไทยที่มีสถานการณ์คล้ายกัน มดเป็นประเภทรักชาติน่ะไม่เท่าไหร่แต่ใครอย่ามาว่า เลยต้องกระโดดออกโรงปกป้อง “ใช่ซี้ ประเทศชั้นมันด้อยพัฒนา ไม่ได้เจริญเลิศหรูเหมือนสวิสเซอร์แลนด์นี่” ตอนแรกอ้วนไม่เข้าใจ ว่าทำไมต้องออกมาปกป้องด้วย แค่พูดถึงประเทศ ไม่ได้พูดถึงเธอซะหน่อย แต่พอเจอเหตุการณ์นี้บ่อย ๆ อ้วนเลยเริ่มเข้าใจว่า ประเด็นเรื่องประเทศมันคงอ่อนไหว หลัง ๆ เลยพยายามพูดออกตัวก่อนเสมอว่า don’t take it personal นะ ซึ่งมดก็ยังไม่เข้าใจ

ทีนี้มาถึงเรื่องของมดโดยตรงบ้าง ครั้งหนึ่งอ้วนเคยพูดว่า “ไม่สามารถปรึกษาเรื่องบางอย่างกับมดได้ เพราะมดชอบ take it personal” แค่ฟังแค่นี้มดก็ปรี๊ดแล้ว “อ๋อ นี่หาว่าชั้นไม่มีเหตุผลใช่มั้ย” อ้วนได้ทีบอกว่า “นั่นไง ๆ ยู take it personal อีกแล้ว” อะไรวะ งง ๆ ตกลงมันหมายความว่ายังไงเนี่ย ชั้นต้องทำตัวเป็นแม่ชีเหรอ เลยตั้งคำถามกลับไปว่า จะไม่ใช้ take it personal ได้ยังไง ในเมื่อการกระทำทุกอย่างออกมาจากตัวชั้น การตำหนิการกระทำจะไม่ส่งผลถึงผู้กระทำได้ไง การตำหนิว่า แม่คนนั้นทิ้งขยะบนถนน จะบอกว่าไม่ได้ตำหนิ”แม่คนนั้น” ได้เหรอ แล้ว “แม่คนนั้น” ไม่มีสิทธิออกตัวปกป้องตัวเองที่ถูกตำหนิว่า ขยะที่เห็นว่าชั้นทิ้งน่ะที่จริงแล้วไม่ได้ตั้งใจ แต่มันหล่นตอนหยิบกระเป๋าสตางค์ อย่างนี้มีสิทธิมั้ย?

อ้วนบอกว่า สิทธิน่ะมีเต็มร้อยที่จะปกป้องตัวเอง แต่ไม่ต้องโกรธไม่ต้องฉุนเฉียวหรือด่ากลับ เพราะหากมีคนมาสะกิดบอกว่า คุณทิ้งขยะ นั่นไม่ได้หมายความว่า เค้าเข้ามาด่าทอ แล้วบอกว่า คุณฆ่าคนตายหรือคุณมันชั่วคุณมันเลว เค้าแค่บอกว่า คุณทิ้งขยะลงพื้น หากคุณไม่ได้ทิ้ง ก็ตอบกลับไปก็เท่านั้นแล้วก็เก็บขยะไปทิ้งให้ถูกที่ เท่านี้เองเรื่องมีแค่นี้เอง และก็เหมือนกัน ถ้าไอบอกยูว่า ยูน่ะบางครั้ง take it personal จนจริงจังมากเกินไป ก็ไม่ได้หมายความว่า ไอไม่ได้รักยูนะ เราแค่พูดกันถึงเรื่องอื่น

4 ปีผ่านไป มดเข้าใจเรื่อง don’t take it personal มากขึ้น รู้ว่าความหมายที่แท้จริงเป็นอย่างไร และก็รู้สึกคุ้นเคยมากขึ้นเมื่อเห็นคนอื่น ๆ เค้าก็เป็นแบบนี้ อย่างคุณครูลูเชอร์ที่สอนภาษาเยอรมันที่มดไปเรียนด้วยทุกวันในระยะนี้ ในห้องมักจะมีพวกน่าเบื่อ ที่ชอบคุยเวลาสอน พวกชอบพูด ๆ ๆ ๆ  ๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้ใครเลย คนงี่เง่าไม่ยอมทำการบ้านแล้วก็ถามบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ได้ มดล่ะนับถือครูลูเชอร์ที่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อย่างไม่น่าเชือ เพราะถ้าเป็นมดคงระเบิดแตก และด่าเป็นรายตัว

นิต้าเป็นอีกคนนึงถ้ามดเป็นครู มดคงเบื่อ ไม่ชอบ และไม่อยากมองหน้า ไม่อยากจะเอาอะไรดี ๆ ให้ อยากจะให้คนอื่นได้ดีให้หมดยกเว้นยัยนิต้า เป็นการลงโทษที่ชอบคุยเป็นภาษาอังกฤษในเวลาเรียน และพูดตอนครูสอนเป็นประจำ  แต่มดไม่ได้เป็นครู หน้าที่นี้คือครูลูเชอร์ของเรา ครูเตือนประจำด้วยหน้ายิ้ม ๆ ประโยคสุภาพ และบางครั้งก็หันมาทำเสียง ชู่ววว์ เบา ๆ ใส่นิต้า มดชื่นชมครูจริง ๆ ว่าช่างหาทางออกตักเตือนอย่างประนีประนอม ไม่มีใครเจ็บตัวหรืออับอาย ครูใจเย็นและใจดีมาก ๆ แล้วช่วงพักเบรค ครูก็ยังเดินมาคุยกับนิต้า หัวเราะกันคิกคัก และครูก็คุยกะตัวแสบอื่น ๆ เป็นปกติด้วย ครูทำได้ไง เป็นมดคงหมายหัวแล้วว่า ใครบ้างที่ชั้นจะไม่รัก ไม่คุยด้วย

ครูอ้วนที่บ้านบอกว่า คุณครูลูเชอร์เค้าตำหนิการกระทำน่ะ ไม่ได้ตำหนิตัวบุคล ครูเค้าไม่ได้ take it personal … เข้าใจแล้วล่ะ 

One Response to “don’t take it personal”

  1. Color Says:

    งั้นคนไทยโดยส่วนใหญ่ก็เป็นพวก Take it personal เลยล่ะ เรามักจะทะเลาะกับคน ๆ นึงบ่อย ๆ ก็เพราะไอ้ take it personal นี่แหละ

    ขอบคุณที่ทำให้อะไรบางอย่างใสกระจ่างขึ้นจากข้อเขียนของมดนะ ^_^

Leave a Reply