Mar 21

ช่วงปีกว่า ๆ มานี้ มดครุ่นคิดถึงความตายอยู่หลายครั้งทีเดียว ไม่ใช่ว่าคิดถึงความตายของตัวเอง แต่เนื่องจากเพราะมีเหตุให้ได้รู้ ได้ข่าวการตายของคนที่แม้เรียกไม่ได้ว่าใกล้ตัว แต่ก็ถือว่าไม่ไกลซะทีเดียวนัก — ความตายพรากชีวิตของผู้อื่นไป แล้วพรากอะไรไปจากเราด้วย?? ความตายพรากอนาคตที่อาจจะมีร่วมกันของเรากับคน ๆ นั้นไป จึงทำให้ความตายดูไม่เป็นมิตร ไม่น่าเข้าใกล้ และส่งผลให้เราเจ็บอกข้างซ้ายเวลานึกขึ้นได้ว่า ไม่มีอนาคตของเราและเขาผู้ตายไปอีกแล้ว

ในหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวไว้ว่า “โชคดีที่พระเจ้าได้มอบความตายไว้ให้เป็นของขวัญ” — สำหรับบางคน ความตายเป็นมิตร เป็นของขวัญ และเป็นทางออกที่แม้หาทางออกอื่นใดไม่ได้ สุดท้ายความตายก็จะยิ้มเย็น ๆ และเชิญเราเดินออกจากประตูนี้ไปอยู่ดี เราจะข้ามผู้ที่ใช้ความตายเป็นทางลัดไปเสียก่อน แต่ขอกล่าวถึงผู้ซึ่งทุกทรมานในชีวิต แต่เล่นตามกฎกติกาโลก คืออดทนต่อความทรมาน ทรกรรมจนถึงที่สุด ก้มหน้ารับชะตากรรมทั้งที่ก่อเองและใครอื่นก่อให้ จนในที่สุดแล้วก็มีมือมาปลดพันธนาการนั้นให้อย่างนุ่มนวล มือที่ชื่อความตาย — นั่นใช่หรือไม่ คือมิตรแท้ และของขวัญที่พระเจ้าประทานให้

ปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา มดได้ข่าวคนสองคนที่เลือกเดินทางลัด แหกกฎกติกาโลก ด้วยการเดินเข้าหาความตายโดยไม่รอให้ถึงเวลา คนหนึ่งคือเพื่อนรักเพื่อนสนิทของอ้วน พ่อลูกอ่อนผู้นี้เลือกจบชีวิตด้วยการยืนรอรถไฟความเร็วสูงให้ปลิดชีวิตตนอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือเพื่อนบ้านที่อยู่ถัดไปสองหลัง และเคยอาศัยเช่าบ้านหลังที่มดอยู่มากว่า 13 ปี หญิงแม่ลูกหนึ่งผู้นี้เลือกแขวนร่างตัวเองไว้ด้วยเชือกเพียงเส้นเดียวกลางห้องรับแขก — หลายครั้งที่มดมักบอกเพื่อนเสมอว่า คนที่เลือกฆ่าตัวตายส่วนใหญ่มักไม่มีเพื่อน และมักจะเกิดจากอารมณ์ชั่ววูบผ่าน แต่สำหรับสองกรณีนี้ทำให้มดชักไม่แน่ใจในทฤษฎีดังกล่าวที่เลือกเชื่อมาตลอด

ถ้าเราไม่ได้ลองใส่รองเท้าคนอื่น เรามักจะตัดสินง่ายดายในการกระทำของเค้า — มดในอายุเท่านี้ เลิกตัดสินคนอื่นคนไกลตัวเสียแล้ว เพราะขนาดตัวเองในบางที เรารู้เหตุปัจจัยทุกอย่างในชีวิต ก็ยังมีบางครั้งที่ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำลงไปได้อย่างไรเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อรู้ข่าวของทั้งสองคนข้างต้น ความรู้สึกแว่บแรกที่นึกขึ้นได้คือ “เสียดาย”

บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเสียดายอะไร มันมีอะไรปะปนอยู่ในคำว่า เสียดาย เต็มไปหมด ต่อจากคำว่าเสียดาย ก็คือความเห็นใจต่อชีวิตที่อยู่ข้างหลังมากกว่า เด็กผู้หญิงคนหนึ่งขาดพ่อตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนเด็กสาววัยรุ่นคนหนึ่งต้องมาพบกับร่างไร้วิญญาณของแม่อยู่ในบ้าน มันช่างน่าสะเทือนใจยิ่งกว่าความตายของพ่อและแม่ของทั้งคู่เสียอีก

มดเคยถามตัวเองว่า จะมีวันนึงที่ชีวิตพามดมาถึงจุดที่อดทนรับมันไม่ได้ จนต้องเดินไปหาความตายก่อนถึงเวลาหรือไม่ — ตอบตัวเองได้ทันทีเลยว่า “ไม่รู้” เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ความเจ็บปวดทรมานอะไรที่จะต้องเจอ ไม่รู้ว่าชีวิตจะมีบททดสอบที่ยากขนาดไหนมาให้ ไม่แน่ใจว่าเกราะป้องกันของตัวเองแข็งแกร่งเพียงแค่ไหน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้ามดเล่นตามกฎกติกาโลกจนชีวิต Expired แล้วมดจะอยากยื้อยุดอยู่ต่อ เพราะถ้าโลกจะแตก และจะต้องตายลงไปในวันนี้ ก็ไม่รู้สึกเสียดายอะไร แม้จะมีคนที่รักอยู่รายล้อม แต่ก็คิดว่าได้ใช้จ่ายวันเวลาร่วมกันไปคุ้มค่าจนไม่เสียดายว่ายังไม่ได้แสดงความรัก หรือยังไม่ได้บอกอะไรไป — ทุกอย่างได้ทำไปแล้ว บอกไปหมดแล้ว ไม่มีความดี ความชั่วอะไรที่ยังค้างคาใจ ให้ไปก็ไปได้ เพียงแต่อาจจะตื่นเต้นเล็กน้อยว่าจะต้องไปเจอด่านอะไรต่อไปเท่านั้นเอง

Mod-x

4 Responses to “ความตาย”

  1. เจ๊เอง Says:

    กลับมาอ่านหนังสือมูราคามิอีกรอบ ทำให้นึกถึงชีวิตคนที่ฆ่าตัวตายหลายมุม นึกถึงที่เคยอ่านบทความเรื่องวัยรุ่นที่ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูง ยิ่งอ่านยิ่งคิดเหมือนอยากเข้าไปในหัวสมองของคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายว่าเขาคิดอะไรก่อนที่จะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว

    เคยดูหนังไตรภาคของกัส แวง ซองค์หลายปีมาแล้ว แต่ละภาคนำเสนอชีวิตของคนสามคนที่ … คิดฆ่าคนอื่น – โดนคนอื่นฆ่า – ฆ่าตัวเอง ดูจบแล้วมือเย็นมาก ความตายเกิดขึ้นได้วูบเดียว

  2. Color Says:

    ตอนเรียนมัธยมปลายเคยอ่านหนังสืออะไรนะ จำไม่ได้ หน้าปกสีดำ ๆ มีตัวหนังสือสีขาวพาดเต็มไปหมด เป็นบันทึกบอกเล่าชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ฆ่าตัวตาย

    อ่านแล้วไม่สนุก มีแต่เรื่องราวท้อแท้ เลยไม่อยากจำ แต่กลับจำได้ขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้อ่านเม้นท์ของเจ๊เอง

  3. Alex Says:

    ชีวิตไม่เที่ยง ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง
    ดังนั้นเราน่าจะใช้ชีวิตด้วยสติที่อยู่กับปัจจุบัน
    ทำให้แต่ละวันเป็นวันที่มีความสุข เท่าที่จะทำได้
    และไม่เป็นการเบียดเบียนสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา
    เหมือนกับที่เคยมีคำพูดที่ว่า ให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวัน
    ให้ดีที่สุด เหมือนว่าพรุ่งนี้โลกจะระเบิดหรือเราจะตายแล้ว
    ให้ความเคารพกับสิ่งมีชึวิตไม่ว่าจะเล็กเท่ามดหรือใหญ่เท่าช้าง
    อยากจะเขียนว่ากอดเท่าที่อยากจะกอด ก็เดียวจะเป็นตลาดเกินไป
    แต่มันเหมือนว่าถ้าสิ่งดีที่เราคิดจะทำแล้วไม่ได้ทำ หรือทำแล้วสบายใจ
    เราก็ควรจะทำเลย อย่าผลัดวัน เพราะเดี๋ยวจะลืม หรือโดนเรื่องอื่นมาเบี่ยงเบนไป
    ถ้าทำได้ ลองคิดดูว่าเราจะสุขทั้งทางกายและจิตใจมากแค่ไหน และเมื่อความตายมาเยือน
    เราก็พร้อมจะตามมันไปทันที โดยไม่รีรอ

  4. Color Says:

    เม้นท์ข้างบนโคตรเท่ (แบบไม่ได้อ่านเนื้อหา) ดูรูปร่างของเม้นท์แล้วทำให้นึกถึงภูกระดึง ซำแฮกขึ้นมาเลย : )

Leave a Reply